ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ
BALANCED IMMUNITY for HEALTH
ศาสตราจารย์ ดร. พิเชษฐ์ วิริยะ:จิตรา : ผู้เล่าเรื่อง
นิรันดร์ พวงสุข : เรียบเรียง
ภูมิคุ้มกันที่ดี
ไม่ใช่ภูมิคุ้มกันที่มาก
แต่หมายุถึง
ภูมิคุ้มกันที่สมดุล
ปัจจุบัน ผู้คนเริ่มหันมาสนใจในเรื่องการดูแลตนเองกัน มากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย การดูแลเรื่องโภชนาการอาหารทำให้ เกิด “ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ” ขึ้นมาในตลาด และ “ภูมิคุ้มกัน” ก็เป็นสิ่งต้นๆ ที่คนมักนึกถึง
ภูมิคุ้มกันกับมนุษย์นั้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่กำเนิด ทว่า มีน้อยคนเหลือเกินที่จะเข้าใจศึกษา วิจัย เรื่องภูมิคุ้มกัน ได้อย่างลึกซึ้งและจริงจัง ว่ามีการทำงานอย่างไร อะไรทำให้ เกิดโรค และจะต้องทำอย่างไร จึงจะทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพดีที่สุด ไม่เกิดผลแทรกซ้อนจากความไม่พอดี ของภูมิคุ้มกัน
น่ายินดีที่มีนักวิจัยไทยผู้มีวิลัยทัศน์ และมองเห็น ความเป็นไปได้ในผลไมัไทยอย่างมังคุด
เมื่อ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ได้ร้บแรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาไทย จึงตั้งสมมติฐาน ศึกษา วิจัย
และต่อยอดผลงานอย่างต่อเนื่อง จากเพียงงานวิจัย เล็ก ๆ ในจุดเริ่มต้น จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่มี ประสิทธิภาพสูงสุด
การวิจัยของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นี้ เป็น นวัตกรรม ใหม่ของโลก ในการดูแลสุขภาพ ที่ฉีกกฎและกรอบการวิจัยอื่น ๆ อย่างน่าทึ่ง ซึ่งสิ่งที่ค้นพบนี้ จะช่วยทำให้คนไทยและมวลมนุษยชาติ ได้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน อันเนื่องมาจากการดูแลตนเอง ตามปณิธานของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ที่ย้ำอยู่เสมอว่า
“เมื่อทุกคนสุขภาพดี ก็จะสามารถสร้างสรรค์และพัฒนา ประเทศของเราให้ดีขึ้นตามไปด้วย”
น้อมคารวะทุกดวงจิตที่ดีงาม
สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี
คำนำผู้เล่าเรื่อง
คณะนักวิจัย APCO มีประสบการณ์เรื่องการวิจัยรวม หลายทศวรรษ และมีความเข้าใจว่า สารที่อยู่ในพืชอาหารที่มนุษย์ บริโภคมาหลายชั่วอายุคนมีผลต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาว ที่ควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากสามารถพิสูจน์ว่าสาร ใดในพืชใดมีผลต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาวอย่างไร จะทำให้ มีความสามารถในการผสมสารเหล่านี้ได้หลายสูตรและใช้ปรับภูมิ (คุ้มกัน) ที่ไม่สมดุล ของร่างกายที่มีอาการผิดปกติหลายอาการ ให้กลับสู่ สภาพภูมิ (คุ้มกัน) สมดุล ที่ทำให้ร่างกายมีสภาพปกติ ได้ ……….
……..“ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ”- BIM (Balanced Immunity) for Health จะเป็นแนวทางที่ยึดปฏิบัติกันไม่เพียงแต่ในประเทศไทย ทว่าจะรวมถึงอาเซียนและทั่วโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลักของ “ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ” เป็นหลักการที่คณะนักวิจัย Operation BIM สถาปนาขึ้นใน ระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี จึงยังคงมีหน้าที่ต้องอธิบายให้ผู้บริโภค เข้าใจเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการนำไปใช้กับตนเองต่อไป หนังสือ “ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ” ที่ท่านถืออยู่นี้ เป็นอีกมาตรการ หนึ่งที่จะช่วยให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าว
สุดท้ายนี้ในนามของคณะนักวิจัย “ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ” ผมขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการสร้างภูมิสมดุล มีสุขภาพแข็งแรงและเป็นกำลังสำคัญของสังคมต่อไป
พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา
(ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา)
หัวหน้าคณะนักวิจัย ภูมิสมดุล เพื่อสุขภาพ
…………ปี 1978 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผมเริ่มนำมังคุดผลไม้ไทยๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดี มาทำการ ศึกษาและวิจัย อย่างจริงจัง
เหตุใดจึงสนใจมังคุดเป็นพิเศษ?
เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะ
ขณะที่ผมศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศนั้น
อีกทั้งเมื่อเริ่มงานวิจัยที่ประเทศไทย ผมยังได้รับแรงบันดาลใจจาก
“ลุงเขียว พัฒนจรินทร์”
คนทำความสะอาดห้องแล็บที่คอยมาช่วยงานผมอยู่เสมอ
ลุงเขียวเล่าว่า
หากเป็นแผล เราสามารถใช้เปลือกมังคุดฝนกับนํ้าปูนใส
ทาที่แผล…แผลจะหายเร็ว
อีกทั้งยังสามารถนำมาต้มกับนำเอาไว้ดื่ม แก้ท้องร่วง ได้
ชาวบ้านนั้นใช้มังคุดรักษาแผล
และโรคหลายอย่างกันมาแต่โบราณ
แม้แต่ในตำราแพทย์แผนโบราณก็มีบันทึกไว้
สิ่งนี้ทำให้ ผม ตื่นเต้น มาก
เนื่องจากสงสัยว่า ฤทธิ์ของสารเคมีในมังคุด
น่าจะสามารถ
ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบไปพร้อมกัน
GM-1 เป็นชื่อที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียก
แซนโทนส์ Xanthones
ชนิดที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นสารประกอบอยู่ในมังคุด
นักวิทยาศาสตร์พบแซนโทนส์ในธรรมชาติกว่า 200 ชนิด
แต่มีแซนโทนส์กว่า 40 ชนิด ที่อยู่ในมังคุด เราได้พบคำตอบแรกว่า
ทำไมทาน้ำจากมังคุดแล้วแผลหาย จากตรงนี้เอง
เนื่องเพราะคุณสมบัติของสาร GM-1 ในมังคุด
สามารถฆ่าแบคทีเรียได้
มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาปฏิชีวนะราคาแพงอย่าง เพนิซิลลีน
เท่านั้นยังไม่พอ… เราพบว่า
แบคทีเรียบางตัวที่ดื้อต่อเพนิซีลลีน GM-1 ก็จัดการได้
GM-1 ไม่เพียงแค่ฆ่าแอแบคทีเรียได้ หรือจะยังมีฤทธิ์เดชอย่างอื่นแฝงอยู่?
ความสงสัยเบื้องต้นนั้นถูกต้องแล้วครับ เมื่อเราได้ทำการทดลองก็พบว่า แท้ที่จริงแล้ว
GM-1 ไม่เพียงฆ่าแบคทีเรีย แต่ยังสามารถลดการอักเสบได้อีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ
เรายังพบว่า GM-1 เป็นสาร Antioxidant
หรือ ต้านอนุมูลอิสระ
ได้ดีกว่า Vitamin E
ขณะนั้น ทีมงานเราตื่นเต้น.มาก เพราะนั่นหมายถึง
ลดการเหี่ยวย่น ช่วยชะลอวัยได้
ถือเป็นเรื่องใหม่ในสมัยนั้น
แม้จะทยอยพบว่า GM-1 จากมังคุด ออกฤทธิ์ได้หลายอย่าง
อย่างไรก็ดีการวิจัยของเรายังคงไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ มันยังต้องมีอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้รอเราอยู่อย่างแน่นอน
ยิ่งทำการวิจัย GM-1 ลึกลงไปเท่าไรเรายิ่งพบ
ประสิทธิภาพหลายประการที่ทำให้พอใจ
ทว่า ทีมงานยังหวังมากกว่านั้น!
“มันน่าจะมีประโยชน์ ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านี้”
เราจึงคิด + ตั้งสมมุติฐาน
แล้วนำสาร GM-1 ไปทดสอบกับ เซลล์มะเร็ง
ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผลที่ได้รับคือ
สาร GM-1
มีประสีทธิภาพในการฆ่าเชลล์มะเร็ง ในหลอดทดลอง
ดีไม่แพ้ยาคีโม (Chemotherapy) ที่ใช้ในการรักษามะเร็งในปัจจุบัน
กลายเป็นว่าขณะนี้ GM-1
มีประสิทธิภาพ 4 ประการที่น่าทึ่ง
- มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีเทียบ
เท่ากับยาปฏิชีวนะราคาแพง
- ต้านการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน
- ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่า Vitamin E
- ฆ่าเชลล์มะเร็งในห้องแล็บได้ดีพอๆ กับยาดี’โม
การวิจัย GM-1 ได้นักวิทยาศาสตร์ มาช่วยกันหลายแขนง ทั้งนักวิจัยหลักและนักวิจัยที่มาช่วยกันเป็นครั้งคราว เมื่อมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็เกิดความสนุก เกิดความอยากรู้อยากเห็น แล้วต่างคนต่างก็ไปตั้งสมมุติฐานของตนเอง
สิ่งนี้เป็นการ พลิกวิธี การวิจัยแบบเดิม ๆ
ที่มีคณะทำงานแบบเดี่ยว ๆ
ให้คิดไปไม่ได้ไกลนัก
ในทัศนะของผม นักวิจัยที่ดี
ควรมีคุณสมบัติ 3 ประการ
ประการแรก
ทำงานวิจัยด้วยความรักจริง ๆ
ประการที่สอง
เริ่มทำแล้วต้องไม่หยุด
อยากจะทำให้ดีต้องมุ่งมั่นและมุมานะ
ประการสุดท้าย
ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ผลงานที่ได้ต้องมีการตีพิมพ์ออกสู่สาธารณะ
และนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์
สรุปผลที่ได้ใน 5 – 6 ปีแรกของการทำงานร่วมกัน
ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ความตั้งใจของทุกคนที่ทำงานคือ
อยากจะพัฒนายาออกมาใช้
เพราะเห็นฤทธิ์ในการ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง
ทว่า…
การพัฒนาออกมาเป็นยา ต้องใช้เวลามาก กว่าจะออกมาเป็นยาแต่ละตัว
เพราะมีขั้นตอน การทดสอบของ WHO ซึ่งใช้เวลานานและค่าใช้จ่ายสูงมาก
อาจใช้เวลาเปีน 10 ปี
ซึ่งแม้อยากจะทำเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่า
เราไม่มีศักยภาพ
ที่จะทำตรงนั้นได้
….เราทราบว่า GM-1
สามารถลดการอักเสบได้
โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับข้อต่าง ๆ
ทว่า…ผลในทางเภสัชวิทยาระบุชัดเจน
หากมีการกินต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
รักษาการบาดเจ็บได้จริง
แต่จะเกิดพิษจากการสะสม
ทำเป็นยาฆ่าเชื้อก็ได้
แต่ก็จะเกิดพิษจากการสะสมเช่นเดียวกัน
ดังนั้น…
….เราจึงไม่ใช้
สารสกัด GM-1 อย่างเดียว
คงต้องใช้ สารสกัดตัวอื่น ๆ
เข้ามาร่วมด้วย
เป็นการเสริมฤทธิกันและกัน
การเสริมฤทธิ์
เป็นการแสดงประสิทธิภาพ โดยใช้จำนวนน้อยลงศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์
1+1 ไม่ได้กลายเป็น 2
แต่อาจกลายเป็น 4 เป็น 8 หรืออื่น ๆ ได้
ซึ่งศาสตร์ที่ว่านี้ ไม่มีอยู่ในตำรา
แต่ผมทำการวิจัยเรื่องนี้มากว่า 20 ปี ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มันุสั่งสมมานาน
ผมได้เลือกใช้ งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง บัวบก
เข้ามาใช้ในการเสริมฤทธิ์ดังกล่าว
ซึ่งพืชเหล่านี้ผมทราบอยู่แล้วว่า
มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ อยู่บ้าง ที่สำคัญคือ
มันมีฤทธิในการดูแลสุขภาพโดยการปรับภูมิคุ้มกันด้วย
…..เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
หากภูมิคุ้มกันของเราดีก็จะไม่ป่วย
แต่เรายังไม่ทราบว่า ต้องใช้อะไรมากอะไรน้อย
จึงจะทำให้เกิดความสมดุลได้…..
ผมจึงตั้งกลุ่มนักวิจัย เรียกว่า
Operation BIM ขึ้นมา
เพื่อศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จากความสงสัย
ทำให้เกิดความรู้เรื่องภูมิคุ้มกัน เพิ่มขึ้น มากขึ้น
จากที่แทบจะไม่รู้อะไรเลย
เมื่อมีจุดเริ่มต้น จึงเกิดการศึกษา ค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง
ด้วย อุปนิสัยส่วนตัว
ผมไม่เพียงชอบวิจัยเท่านั้น
ทว่า หากเกิดข้อสงสัย ก็มักจะศึกษาอย่างจริงจัง
จนกว่าจะสามารถคลายข้อสงสัยลงได้
ความรู้เกี่ยวกับร่างกายของคนเราเบื้องต้น
เราทราบว่า ในเลือด 5 ลิตร
จะมีเม็ดเลือดขาวอยู่ราว 20,000 – 55,000 ล้านเม็ด
ธรรมชาติสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมา
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ทำให้ร่างกายเป็นปกติ หลักการธรรมชาติที่ทีมงานของผมคิดคือ
ถ้าภูมิคุ้มกันมีมากไป
ก็ปรับให้มันน้อยลง
ถ้าภูมิคุ้มกันมิน้อยไป
ก็เพิ่มให้มันอยู่ในระดับปกติ
นี่คือหลักการคร่าว ๆ ของสิ่งที่เราเรียกว่า ภูมิสมดุล
สิ่งที่ได้รับเรื่องภูมิสมดุลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่เป็นเพราะ เมื่อเราได้ลงมือปฏิบัติแล้วเกิดผล
ผลที่ได้รับทำให้เกิดความสงสัย
เราก็ติดตามจากความสงสัยนั้นจนได้คำตอบที่อธิบายได้
ทุกอย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ
มันมีที่มาที่ไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน…
หลังจากที่ได้สูตรที่มาจากการเสริมฤทธิ์
เพราะไม่ต้องการให้ร่างกายผู้บริโภคเกิดการสะสม
ที่มีผลมาจาก
รับสารสกัดตัวใดตัวหนึ่งเป็นเวลานานเกินไป
การเสริมฤทธิ์คือ การนำสารที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
นำมาผสมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
เราได้สกัดสารที่สามารถทำงานกับเม็ดเลือดขาว
จากงาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง บัวบก
นำมาผสมกับ สาร GM-1 ที่เราสกัดได้จากมังคุด
วิธีการแบบนี้ทำให้สารสกัดที่เราได้
ไปออกฤทธิ์กระตุ้นเม็ดเลือดขาว
ในประสิทธิภาพที่สูงมากขึ้น
โดยไม่ต้องใช้ปริมาณมาก
กำจัดปัญหาของการสะสม
ที่จะทำให้มีผลข้างเคียงภายหลังให้หมดไป
และจากการที่เราได้สารสกัดจากพืชอื่น ๆ อีก 4 ชนิดนี้เอง
ทำให้ เกิดความหลากหลายของสูตรที่เราพัฒนาได้
หากว่าเรา ปรับส่วนผสมในสัดส่วนที่แตกต่างกัน สารจากพืชต่าง ๆ
ก็จะ ไปทำงานกับเม็ดเลือดขาวในลักษณะที่แตกต่างกัน แน่นอนว่า
หากเราใช้เพียงสารสกัดตัวเดียว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
เพราะจะมีทางเลือกเพียง ใช้สารสกัดให้ มากขึ้นหรือน้อยลงเท่านั้นเอง
ด้วยวิธีดังกล่าว
เราสามารถ
สร้างสูตรดูแลภูมิคุ้มกัน
ที่แตกต่างได้มากมาย
ความยากในการติดตามผลที่ได้จาก
การใช้สารสกัดหลายชนิด คือ
มีสารที่ออกฦทธิ์ในการปรับภูมิคุ้มกัน
กับเม็ดเลือดขาวเยอะมาก
เราไม่มีทางที่จะติดตามได้เลยว่าสารแต่ละตัวแต่ละกลุ่ม
เข้าไปทำงานกับเซลล์อย่างไร
ด้วยสาเหตุที่เราทราบว่า
เม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดจะหลั่งสารที่แตกต่างกันออกมา
และสารที่แตกต่างนั้น
เมื่อมีปริมาณที่มากน้อยไม่เหมือนกัน
ก็จะทำปฏิกิริยากับอวัยวะไม่เหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงใช้วิธี
การศึกษาแบบองค์รวม
โดยศึกษาว่า…
…เม็ดเลือดขาวเมื่อได้รับการกระตุ้นแล้ว
หลั่งสารอะไรออกมา
และสารนั้นมันไปทำอะไรกับร่างกาย
แล้วมาดูผลลัพธ์ว่า หลังจาก 15 วัน
เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ความเห็นของผม คือในเมื่อเราสามารถศึกษาผลของ
องค์รวมจากพืชได้ชัดเจน โดยการวัดผล หลังจากวันที่ 15
ดังนั้นเราก็สามารถรับมือกับโรคภัยใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
การศึกษาองค์รวมนี้เป็นนวัตกรรมใหม่
ที่สามารถดูแลคนไทยและมวลมนุษยชาติ
ในอนาคตได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในศาสตร์ของภูมิคุ้มกันวิทยาบอกว่า
เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรามี
เม็ดเลือดขาวตัวช่วย กลุ่มหนึ่ง
ชื่อ T helper cells
ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่ไปจัดการกับสิ่งแปลกปลอม
หรือเชื้อโรคใด ๆ ในร่างกาย
ทว่า มันทำหน้าที่หลั่งสารออกมาจากตัวเอง
แล้วส่งสื่อสัญญาณไปยัง
เม็ดเลือดขาวอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า
กลุ่มเพชฌฆาต Cytotoxic T cells
เม็ดเลือดขาวตัวช่วย
ที่เราจับตาดูเรียกว่า T helper-1 (Th1)
นักภูมิคุ้มกันวิทยา ทราบว่า
Th1 มันจะหลั่งสาร 2 ตัวออกมา
ซึ่งสาร 2 ตัวดังกล่าว
จะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตให้
มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น
ในการจัดการกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น
เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส หรือมะเร็ง
หากเราสามารถเพิ่ม Th1 ให้มากขึ้น
แน่นอนว่าการจัดการกับสิ่งแปลกปลอมก็ดีขึ้น
เราเพิ่มเม็ดเลือดขาวตัวช่วย
ไม่ได้เพิ่มเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต
เม็ดเลือดขาวอีกตัวหนึ่งที่เราจับตามองอยู่คือ Th17
เป็นเม็ดเลือดขาวกลุ่มใหม่
ที่ เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ปีที่ ผ่านมานี้เอง
ที่ Th17 น่าสนใจ น่าจับตามองก็เพราะ
มันทำหน้าที่ไปกระตุ้น
ให้เม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต
ทำงานได้ดีกว่า Th1 เสียอีก
เม็ดเลือดขาวอีกตัวที่เรารู้จักดีอยู่แล้วเรียกว่า Th9
ตัวนี้เป็นตัวที่นักภูมิคุ้มกันวิทยาสรุปแล้วว่า
เป็นตัวที่ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่สามารถกำจัด
เซลล์มะเร็งและส่งแปลกปลอมอื่น ๆ ได้ดีที่สุด
มะเร็ง….
มะเร็ง เป็นโรคร้ายที่รักษายากมาก
ปัจจุบัน วิธีที่นิยมใช้ในการรักษามะเร็งที่สุด คือ
การใช้เคมีบำบัด Chemotherapy
หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า คีโม
หรืออาจจะเป็นการใช้รังสีรักษา Radiotherapy
หรือ นิยมเรียกว่า อาร์ที
คีโม นั้นเป็นยาพิษที่จะไปจัดการกับเซลล์มะเร็ง
ทว่า มันไม่ได้จัดการกับเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียว
มันไปจัดการกับเซลล์อื่น ๆ ในร่างกายด้วย
ดังนั้นคีโมจึงมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก
จากการสำรวจจากทีมนักวิจัยกว่า 25 ปี พบว่า
ผู้ป่วยที่ใช้วิธีรักษาด้วยเคมีบำบัดนั้น
เสียชีวิตจากตัวเคมีบำบัดเอง
มากกว่าเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเสียอีก!!!
และยังมีข้อมูลอีกว่า
ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ไม่ได้ใช้เคมีบำบัด
มีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ที่ใช้เคมีบำบัดโดยเฉลี่ยถึง4เท่า!!!
ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมจะมีชีวิตอยู่ได้ราว 12 ปี
หากไม่ใช้ยาฆ่ามะเร็ง
แต่ถ้าใช้จะเหลือเพียง 3 ปี
ตกลงว่า วิธีเหล่านี้มันช่วยจริง ๆ หรือเปล่า?
สิ่งที่เกิดขึ้นเราจะเห็นว่า ผู้ป่วยที่หายจากโรคมะเร็ง หายได้จริง อาการดีขึ้นจริง ท่ามกลางความทรมานที่ต้องผ่านผลข้างเคียงต่าง ๆ บางรายดีขึ้นได้ไม่นาน ผ่านไป 2-3 ปี ก็กลับมาเป็นใหม่ บางรายกลับมาเป็นที่เก่า บางรายก็ลุกลามไปเป็นที่อื่น คำถามที่มีคือ
ทำไมมันจึงกลับมา ?
ผมเองมองว่าที่มะเร็งกลับมามี 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก เพราะมะเร็งไม่ได้ถูกกำจัดไป
เมื่อมันแข็งแรงขึ้นมันก็กลับมาอยู่ที่เดิม
ส่วนสาเหตุที่สอง ที่เราพบว่า
มะเร็งมันเกิดขึ้นในที่ใหม่ มะเร็งไม่ได้ย้ายที่ไป…
ทว่า การใช้คีโมยังเป็นทางเลือกที่ใช้กันในปัจจุบัน
เพราะการใช้เคมีบำบัดเป็นอุตสาหกรรมใหญ่
ที่มีผู้ส่งเสริมให้ใช้ทุกระดับ
ทั้งในการแพทย์ การผลิต การรักษา
ผู้ป่วยต้องเลือกใช้วิธีดังกล่าว เพราะ ยังไม่มีวิธีอื่น
จนกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีวิธีการที่จะจัดการกับมะเร็งที่ดีกว่า
โดยไม่มีผลข้างเคียง
การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง
จะเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง
…อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า
เม็ดเลือดขาวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา
ไว้กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างกาย
สิ่งที่เราทำเน้นการกระตุ้นธรรมชาติ
ให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิกาพ
อย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นเอง
ปัจจุบันเรามักจะได้ยินว่า ใช้ยาต้านไวรัสได้
แต่อีกสักพักหนึ่งผู้ป่วยก็ไปติดเชื้ออื่นอย่าง
เชื่อแบคทีเรีย
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ?
เหตุผลที่อธิบายง่าย ๆ
พอไวรัสลดลง ร่างกายอ่อนแอลง
ก็ติดเชื่อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
เพราะเราใช้ยาไป ฆ่าเฉพาะเชื้อ
แต่ไม่ได้ฆ่าทั้งหมด
ขณะที่เราฆ่าเชื้อนั้นร่างกายของเราก็อ่อนแอตามไปด้วย
เมื่อเราลดเชื้อกลุ่มหนึ่งลง
เชื้ออีกกลุ่มหนึ่งก็ สนุกสนานเบิกบานในร่างกายของเรา
ตัวอย่างเช่น กรณีนักแสดงชายที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนี้
นักแสดงคนนี้ติดเชื้อ ไข้เลือดออก และกินยาต้านไวรัส
ปรากฏว่า ไวรัสหาย
แต่ไปติดเชื้อแบคทีเรียในปอด
ต้องตัดปอดออก
ทำให้ร่างกายทรุดลงจน เสียชีวิต ในที่สุด
กรณีดังกล่าว
ถ้าหากใช้วิธีของเราที่ไป
กระตุ้นเม็ดเลือดขาวในร่างกาย
เมื่อเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตทำงาน ก็สามารถแก้ไขได้
เพราะดูแลได้ครอบคลุมทั้งหมด
ในขณะที่เรามุ่งจะจัดการกับมะเร็งหรือไวรัส
เราก็จัดการกับเชื้อแบคทีเรีย
หรือเชื้อราไปด้วยพร้อม ๆ กัน
ผลช้างเคียงจะไม่เกิดขึ้นเลย
หากเราใช้วิธีการจัดการด้วยภูมิคุ้มกัน…
บางคนดูไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง
บางคนก็ดูไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ติดเชื้อ HIV นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของภูมิคุ้มกันวิทยาที่เราทำ
สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา
เพื่อจัดการกับเชื้อ
และสิ่งแปลกปลอมทั้งหลาย
เบาหวาน, SLE, รูมาตอยด์, โรคแพ้ภูมิตัวเอง….
เราพูดถึงเม็ดเลือดขาว
ที่ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาต
สำหรับคนที่ต้องการมันในปริมาณที่เหมาะสม
ทว่า ในทางกลับกัน
สำหรับผู้ที่มีการหลั่งสารออกมา มากเกินไป
หรือถูกกระตุ้นมากเกินไป
มันก็จะเป็นการโจมตีตัวเราเอง
ถ้าอวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ
ในร่างกายเกิดมีภูมิต้านทานมากเกินไป
มีภูมิคุ้มกันเยอะเกินไป
สภาวะนี้จะทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง
เช่น เบาหวาน, SLE, รูมาตอยด์
เหล่านี้เป็น โรคแพ้ภูมิตัวเอง
จากการที่ร่างกาย สร้างสารต้านทานโรค มากเกินไป
ผมจึงกลับมาคิดในกระบวนการย้อนกลับ
ตรงจุดที่ว่า หากเรามีสารสกัดตัวเดียว
เราจะจัดการอะไรไม่ได้เลย
เราจะทำได้แค่เพียง เพิ่มหรือลดปริมาณที่ใช้ เท่านั้น
ทว่า…
มีสารหลายๆ กลุ่มที่นำมาใช้
หากเรานำสารสกัด มาผสมกันในปริมาณที่เปลี่ยนไป
มันก็จะไปทำปฏิกิริยากับเม็ดเลือดขาว ในลักษณะที่แตกต่าง
คราวนี้เราจะลดการหลั่งสารที่สร้างภูมิต้านทาน
ในร่างกายเพื่อแก้ไขอาการแพ้ภูมิตัวเอง
ตับอ่อน คือ อวัยวะหนึ่งของร่ายกายที่หลั่งสารอินซูลิน
อินซูลิน คือ สารที่ช่วยนำน้ำตาลในกระแสเลือด
ไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย
อาการของโรคเบาหวานมีอยู่ 2 ชนิด
ชนิดแรก เกิดจาก
ตับอ่อนถูกโจมติจน อินซูลินหลั่งได้น้อย
ทำให้นำนํ้าตาลไปสู่ร่างกายได้ไม่มาก
อาการของโรคเบาหวานอีกชนิดหนึ่งคือ
ในเลือดมีสาร TNF-alpha
และ IFN-gamma มากเกินไป
สาร 2 ตัวนี้ หากอยู่ในเลือดจะทำให้ร่างกาย
ดื้อต่ออินซูลิน
หมายความว่า ในกระแสเลือดอาจจะมี อินซูลินมาก
เพียงพอแต่ใช้งานไม่ได้
ร่างกายมีอินซูลินเพียงพอ แตกยังเป็นโรคเบาหวาน
เม็ดเลือดขาวอีกกลุ่มหนึ่งคือ Thl7 ที่เราเคยบอกว่า
มันช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวเพชฌฆาตได้ดีมาก
แต่ถ้ามันมี มากเกินไป
มันก็จะทำให้เกิดอาการ แพ้ภูมิตัวเองรุนแรงขึ้น
เมื่อเรา ลด มันได้
อาการแพ้ภูมิตัวเองทั้งหลายก็ ลดลง ตามไปด้วย
ข้อเสื่อม, เข่าอักเสบ, รูมาตอยด์…
หลักการเดียวกันกับที่เราใช้ดูแลผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวาน เราก็สามารถใช้ดูแล
ผู้ที่มีปัญหาข้อเสื่อมเข่าอักเสบ รูมาตอยด์ ได้ด้วย
ด้วยความรู้ที่ว่า
กลุ่มคนที่มีปัญหาเหล่านี้เกิดจาก
เม็ดเลือดขาวหลั่งสารป้องกันตัวเองมากเกินไป
สารดังกล่าวใดแก่กลุ่ม TNF-alpha Interleukin-6 และ Interleukin-17
สารทั้ง 3 ตัวนี้จะทำให้เกิด
การอักเสบและทำลายกระดูก
ทำให้กระดูกมีการกร่อนลงๆ
เมื่อ ต้นเหตุของโรคลดลง
ทุกคนก็มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
สาร 3 ตัวดังกล่าว
เป็นต้นเหตุของโรคแพ้ภูมิตัวเองอื่น ๆ อีกหลายโรค
เช่น SLE หรือโรคพุ่มพวง โรคสะเก็ดเงิน โรคพาร์กินสัน
เมื่อเราลดที่ต้นเหตุ
ผู้ที่มีปัญหาด้วยโรคเหล่านี้
ผู้ที่ทรมานจากโรคหลาย ๆ โรคที่มาจากสาเหตุเหล่านี้
เมื่อใช้ร่วมกับยาที่แพทย์รักษาอยู่ก็ทำให้
ลดตัวยาสเตียรอยด์
ซึ่งเป็นยาอันตรายได้
ภูมิสมดุลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เราจะเห็นได้ว่า
มากเกินไปก็ไม่ดี
น้อยเกินใปก็ไม่ได้
มันต้อง พอดี
นักภูมิคุ้มกันวิทยาส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
และมักจะใช้คำว่า “ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดี”
ซึ่ง ความหมายของ ภูมิคุ้มกันที่ดีไม่ใช่ภูมิคุ้มกันที่มาก
แต่หมายถึงภูมิคุ้มกันที่สมดุล
บริษัทยาทั้งหลายมักจะใช้คำว่า “สร้างภูมิคุ้มกัน”
ความเข้าใจของคนทั่วไปจึงเข้าใจว่า ต้องมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น
.
สุขภาพตา
เดิมทีเราทราบกันว่า ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตา
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ
ไม่ว่าจะเป็น วุ้นตาเสื่อม ต้อกระจก ต้อหิน
สายตาสั้น สายตายาว จอประสาทตาเสื่อม
ทั้งหมดเกิดขึ้นจากภาวะความเสื่อมของดวงตา
ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่เม็ดเลือดขาว
มีการหลั่งสารภูมิคุ้มกัน มากเกินไป
แล้วทำให้เกิดการอักเสบและความเสื่อม
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะสามารถปรับ
ภาวะที่ผิดปกติอันนั้นให้กลับสู่ภาวะที่ปกติได้
หากเราสามารถปรับการหลั่งสารของเม็ดเลือดขาว
ให้กลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ วุ้นตาเสื่อม
ซึ่งเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
เพราะใช้สายตาที่หนัก หักโหม
จากการจ้องคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ
ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
โดยมีอาการคือ
เหมือนมีตัวหนอน หรือหยากไย่อยูในตา แล้วลอยไปลอยมา
ทั้งในขณะที่กวาดตาขึ้นลงหรือจากซ้ายไปขวา
ก่อให้เกิดความรำคาญเวลาที่เรามองอะไร
ถ้ายังเป็นไม่มาก สมองของเราก็จะปรับตัว มองข้ามสิงเหล่านี้
ดูเหมือนว่ามันหายไปเอง
แต่ถ้าเราใช้ตาอยู่เรื่อย ๆ อาการมันก็จะมากขึ้น ๆ
บางครั้งจะมองเห็นเหมือนฟ้าแลบ
เกิดที่หัวตาหรือหางตาของเรา เป็นความเสือมของน้ำวุ้นตา
วุ้นของตามนุษย์ 99 % ประกอบด้วยน้ำ
อีก 1 % เป็นอาหารหรือโปรตีน และไขมัน
ซึ่งภาวะหนึ่ง 1 % ดังกล่าวอาจแยกตัวออกมา
ไม่ละลายอยู่ในน้ำอีกต่อไป
และกลายเป็นของแข็ง
เกิดการบังแสงเวลาที่เรามองอะไร
เหมือนว่ามีเศษอะไรมาติดบนเลนส์กล้อง
ต้อกระจก ต้อหิน
แล้วเราไม่ได้เช็ดออก
เกิดขึ้นจากความเสื่อม ที่มีผลต่อการมองเห็น
ทำให้ตามัวหรือตาบอดได้
สายตาสั้น สายตายาว
เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อตาไม่ทำงาน
เมื่อสายตาเราปกติ เวลาเรามองไปยังวัตถุ
ตาของเราจะทำการ
ปรับโฟกัสโดยอัตโนมัติ (Auto focus)
กล้ามเนื้อตาของเราจะคอยควบคุมการนูนของเลนส์
ทำให้แสงมาตกกระทบที่จอประสาทตา
ถ้าแสงมาตกหน้าจอประสาทตา เรียกว่า สายตาสั้น
ถ้าแสงมาตกหลังจอประสาทตา เรียกว่า สายตายาว
เมื่อกล้ามเนื้อที่คอยควบคุมเริ่มเพี้ยน ก็เริ่มควบคุมยาก
เมื่อเราปรับสมดุลให้ปกติ กล้ามเนื้อตาก็จะสามารถทำงานได้ดีอีกครั้งหนึ่ง
และกลับคืนเป็นปกติได้
ถ้าอาการไม่รุนแรงเกินไป
อาการจอประสาทตาเสื่อม
มี 2 ชนิด
คือ ชนิดแห้งและชนิดเปียก
ทั้ง 2 ชนิดเกิดจากมีโปรตีนและไขมันรวมตัวกัน ติดอยู่ที่จอประสาทตา ทำให้มองภาพได้ไม่ชัดเจนและบิดเบี้ยวไป ในกรณีที่มีเลือดไหลออกจากจอประสาทตา
เราเรียกว่าเป็น ชนิดเปียก
ซึ่งถ้ามีเลือดออกมามากจะทำให้ตาบอดได้
ทั้ง 2 อาการของประสาทตาเกิดขึ้นจากภาวะเสือมทั้งสิน!
โดยสรุปแล้ว
หากมีภาวะสายตาเสื่อม ไม่ว่าจะอาการใด ๆ ที่กล่าวมา
เพียงเราปรับภูมิคุ้มกันและเม็ดเลือดขาวให้สมดุล
สกาพสายตาก็จะกลับสู่ภาวะปกติดังเดิม
ผมยังมุ่งมันและทำงานวิจัยเรื่องภูมิสมดุล อย่างต่อเนื่องไม่หยุด
และตั้งใจที่จะทำหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
นำเอาผลงานวิจัยออกไปช่วยคนโดยเฉพาะด้านสุขภาพ
เพราะผมมองเห็นความจริงข้อหนึ่ง คือ
เมื่อทุกคนสุขภาพดี
ก็จะสามารถสร้างสรรค์
และพัฒนาประเทศของเรา
ให้ดีขึ้นตามไปด้วย
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก
หนังสือ “ภูมสมดุลเพื่อสุขภาพ”
ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา
ISBN 978-616-376-032-6
กรุงเทพ : ดีเอ็มจีม, 2559