เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มักเกิดกับข้อนิ้วมือนิ้วเท้าทุกข้อ ๒ ข้างพร้อมกันทำให้ปวดข้อ ข้อแข็ง กำลำบาก เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง หากปล่อยปละละเลยอาจทำให้ข้อพิการรุนแรงได้
สาเหตุ
โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื้อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อมๆ กันร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง(ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างภูมิต้านทาน(แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื้อในบริเวณข้อของตัวเองเรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)
อาการ
ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่านตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง ๒ ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง ๑ ข้อหรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย(ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง ๒ ข้างของร่างกาย ก็ได้) อาการปวดข้อและข้อเเข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสายๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะลุเลา บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์ ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะเเข็งแรงและพิการได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’ s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำๆ น้ำหนักลด เป็นต้น
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดข้อนานเกิน ๒ สัปดาห์ หรือมีอาการปวดบวม แดงร้อน ที่ข้อ (ไม่ว่าข้อใด หรือจำนวนกี่ข้อก็ตาม) ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด
เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคปวดข้อรูมาตอยด์ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้
-กินยา รักษาทางกายภาพบำบัดตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ประจำตามนัดอย่างต่อเนื่อง
-อย่าซื้อยาชุด ยาลูกกลอนกินเอง เพราะอาจมีส่วนผสมของสารสตีรอยด์ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้(แม้ว่าจะช่วยให้อาการทุเลาหรือหายดีก็ตาม)
-นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
-ออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน ฝึกชี่กง ฝึกกายบริหาร เป็นต้น แต่ว่าถ้าออกกำลังการแล้ว กลับมีอาการปวดข้อมากขึ้น ก็ควรงดและปรึกษาแพทย์ว่าควรออกกำลังการแบบไหนดี
-ประคบข้อที่ปวดด้วยน้ำอุ่นจัดๆ อาบหรือเเช่ในน้ำอุ่นนานครั้งละ ๑๕ นาที
-ถ้ามีความเครียด ให้พักผ่อนโดยหายใจเข้าออกลึกๆ (นาทีละไม่เกิน ๑๐ ครั้ง) นาน ๑-๒ นาที ทำบ่อยๆ ทุกวัน (อาจทุก ๒-๕ ชั่วโมง) หรือทำสมาธิ หรือ ฝึกเจริญสติ (จิตใจจดจ่อกับการเคลื่อนไหวหรือสมาธิในชีวิตประจำวัน)
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : สสส. สำนักงาานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ